การชุบโลหะไม่มีค่าประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ 
 
          การชุบทองแดงด่าง เป็น การชุบรองพื้น เพื่อให้การเคลือบผิวขั้นต่อไปยึดเกาะผิวได้ดีขึ้น เนื่องจากทองแดงด่างมีการยึดเกาะกับผิวชิ้นงานได้ดีมาก และโลหะมีค่าที่จะนำมาชุบทับสามารถยึดเกาะกับทองแดงด่างได้ดีกว่าเกาะผิวชิ้นงานโดยตรง รวมทั้งเพื่อเพิ่มความหนาของผิว ส่วนการชุบทองแดงกรดจะทำให้ผิวเรียบมันเงา ทำให้โลหะที่ชุบทับต่อไปเรียบเงา การชุบนิกเกิลจะทำให้ผิวชิ้นงานเป็นเงาสีขาวอมเหลือง เมื่อนำไปชุบทองหรือโลหะอื่นจะได้ชิ้นงานที่มีผิวชุบที่เงางาม ขั้นสุดท้ายเป็นการชุบโลหะมีค่า ได้แก่ โครเมียม ทองเหลือง นาก ทองเค เงิน ทอง ทองคำขาว และโลหะอื่น ๆ ในการชุบจริงอาจมีการลดขั้นตอนลงตามความเหมาะสมของชิ้นงานด้วย เช่น หากชิ้นงานเป็นเครื่องประดับที่เคยเคลือบมาแล้ว ก็เพียงทำความสะอาดแล้วชุบขั้นสุดท้ายได้เลย ไม่ต้องชุบรองพื้นก่อน เป็นต้น
 
 
การชุบโลหะมีค่าเป็นกิจกรรมที่มีสารเคมีเกี่ยวข้องด้วยจำนวนมาก ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้ในการทำน้ำยาชุบและที่ใช้ในขั้นตอนต่าง ๆ มีดังนี้
 
        สารละลายสำหรับล้างทำความสะอาดผิวชิ้นงาน: การทำความสะอาดทั่วไปใช้สารละลายโซเดียมไซยาไนด์เข้มข้น 20 – 40 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ถ้าชิ้นงานสกปรกมากอาจต้องทำความสะอาดโดยใช้กรดหรือด่างกัดก่อน
        - น้ำยาชุบทองแดงด่าง : สูตรที่ใช้ทั่วไปประกอบด้วยสารโซเดียมไซยาไนด์ โปตัสเซียมโซเดียมทาร์เทรต โซเดียมคาร์บอเนต และคอปเปอร์ไซยาไนด์ ผสมรวมกันในน้ำกลั่น 
        - น้ำยาชุบทองแดงกรด : เป็นส่วนผสมของสารคอปเปอร์ซัลเฟต กรดซัลฟุริกหรือกรดกำมะถันเข้มข้น 96% กรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ และน้ำยาเงา (ทองแดง) น้ำกลั่น
        - น้ำยาชุบนิกเกิล : มีองค์ประกอบหลักคือ นิกเกิลซัลเฟต นิกเกิลคลอไรด์ กรดบอริค น้ำยาพื้นนิกเกิล น้ำยาเงานิกเกิล น้ำกลั่น
  สารละลายกรด  
        สารต่างๆที่ใช้ในบ้านหรือในชีวิตประจำวันมีอยู่หลายชนิดแต่ละชนิดจะมีสมบัติแตกต่างกัน บางชนิดมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนสูง บางชนิดมีกลิ่นเหม็น บางชนิดมีกลิ่นหอม  บางชนิดระเหยง่าย บางชนิดระเหยอยาก  เป็นต้น การจัดจำแนกสารชนิดต่างๆ จึงมีหลายวิธี  สมบัติความเป็นกรด – เบสเป็นสมบัติที่สำคัญของสารอีกประการหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์นิยมนำมาใช้ในการจัดจำแนกประเภทของสาร รองจากสมบัติทางด้านสถานะของสาร  
 
 
        1. กรด(acid) คือสารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบเมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+) เกิดขึ้น  ในสารละลายกรดทุกชนิดจะมีรสเปรี้ยว เช่น น้ำสมสายชูมีกรดแอซีติกเป็นองค์ประกอบ น้ำมะนาวมีกรดซิตริกเป็นองค์ประกอบ  กรดมดแดงมีกรดฟอร์มิกเป็นองค์ประกอบ เป็นต้น     กรดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆเป็นกรดอ่อน ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเรามากนักและเมื่อนำมาทดสอบกับน้ำยาเจนเชียลไวโอเลต (ยาสีม่วง) จะไม่เปลี่ยนสี  แต่ถ้าเป็นกรดที่ได้จากแร่ธาตุที่คนเราสังเคราะห์ขึ้นจะมีความเข้มข้นสูง  เช่นกรดไฮโดรคลอริก(กรดเกลือ)  กรดไนตริก (กรดดินประสิว) กรดซัลฟิวริก (กรดกำมะถัน) จะมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง  สามารถทำลายวัตถุ เสื้อผ้าผิวหนังและเนื้อเยื่อต่างของร่างกายได้  เมื่อนำมาทดสอบกับน้ำยาเจนเชียลไวโอเลตจะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงิน ดังนั้นภาชนะที่บรรจุกรดจึงนิยมภาชนะที่ทำด้วยแก้ว เช่นขวดแก้ว   ซึ่งจะต้องติดป้ายแสดงให้ชัดเจนว่า  เป็นสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อีกทั้งการนำสารที่เป็นกรดมาใช้ต้องระมัดระวังและใช้อย่างถูกวิธีจะทำให้การใช้สารเคมีที่ปลอดภัยด้วย
 
          2. สมบัติบางประการของสารละลายกรด มีดังนี้
           2.1 กรดทุกชนิดจะมีรสเปรี้ยว  ถ้ามีรสเปรี้ยวมากแสดงว่ามีความเป็นกรดมาก เช่นกรดแอซีติกที่เข้มข้นมากจะมีรสเปรี้ยวจัด  เมื่อนำมาทำน้ำส้มสายชู จะใช้ความเข้มข้นเพียง  5 % โดยมวลต่อปริมาตร   ( หมายความว่า ใช้กรดแอซิติก  5  กรัม  ละลายในน้ำ    100   ลูกบาศก์เซนติเมตร )
           2.2 เปลี่ยนสีของกระดาษลิสมัตจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง  (กระดาษลิตมัสเป็นอินดิเคเตอร์ชนิดหนึ่งใช้ทดสอบความเป็นกรด-เบส ของสาร)
                  2.3 กรดสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิดได้ดี เช่น  สังกะสี  แมกนีเซียม  ทองแดง  ดีบุก  และอะลูมิเนียม  ได้แก๊ส  ไฮโดรเจน(H2) ซึ่งเบากว่าอากาศและไวไฟมากทำให้เกิดการระเบิดได้ ตัวอย่างปฏิกิริยาระหว่างโลหะเหล็ก  กับ  กรดซัลฟิวริก ได้แก๊สไฮโดรเจน      
  
 
    
        
            |   Fe  |   + |   H2SO4 |     → |   FeSO4 |   + |    H2 |     | 
        
            |   เหล็ก  |     |   กรดซัลฟิวริก |     |   ไอร์ออนซัลเฟต |     |   แก๊สไฮโดรเจน |     | 
    
 
 
 นอกจากนี้กรดจะทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด  เช่น  ทองคำ ทองคำขาว  เงิน  ปรอท ได้ช้ามากหรืออาจไม่เกิดปฏิกิริยาเลย
 
 
                 2.4  กรดทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือกับน้ำ  เช่น  กรดเกลือทำปฏิกิริยากับโซดาแผดเผาหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งเป็นเบส  ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง  การทำปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบสที่พอดีจะเรียกว่า ปฏิกิริยาสะเทิน  ดังตัวอย่าง ปฏิกิริยาดังนี้                            
 
   
    
        
            |   HCl |   +  |    NaOH |    →  |   NaCl  |   + |    H2 | 
        
            |   กรดเกลือ |   
 |   โซเดียมไฮดรอกไซด์ |   
 |   โซเดียมคลอไรด์     |   
 |   แก๊สไฮโดรเจน | 
    
 
 
                2.5  กรดสามารถเกิดปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งเป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต   ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์  โดยเราสามารถทดสอบแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดขึ้นได้โดยผ่านแก๊สเข้าไปในน้ำปูนใสซึ่งเป็นสารละลายของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำ  ซึ่งจะทำให้น้ำปูนใสขุ่นทันที  เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำปฏิกิริยากับสารละลายของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำปูนใสได้แคลเซียมคาร์บอเนต  ซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ ดังตัวอย่าง ปฏิกิริยาต่อไปนี้ 
 
    
        
            |   2HCl |   +  |   CaCO3 |   → |   CaCl2 |   + |    H2O  |   + |   CO2 | 
        
            |   กรดเกลือ |   
 |   แคลเซียมคาร์บอเนต |   
 |   คัลเซียมคลอไรด์ |   
 |   น้ำ |   
 |    แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์   | 
    
 
 
 
                    2.6 สารละลายกรดทุกชนิดนำไฟฟ้าได้ดี  เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+)
               2.7  กรดทุกชนิดมีค่า  PH  น้อยกว่า  7
               2.8  กรดมีฤทิธิ์กัดกร่อนสารต่างๆได้ โดยเฉพาะเนื้อต่างๆของสิ่งมีชีวิต    ถ้ากรดถูกผิวหนังจะทำให้ไหม้เกรียม  ปวดแสบปวดร้อน   ถ้าถูกเส้นใยเนื้อเยื่อเสื้อผ้า   เส้นใยจะถูกกัดกร่อนให้ไหม้ได้ นอกจากนี้กรดยังทำลายเนื้อไม้ กระดาษ  และพลาสติกบางชนิดได้ด้วย
               2.9  ไม่ให้สีกับสารฟีนอล์ฟทาลีน(สารฟีนอล์ฟทาลีนเป็นอินดิเตอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบสารละลายกรด – เบส)      
     3. ประเภทของสารละลายกรด แบ่งออกเป็น 2  ประเภทใหญ่ๆ  คือกรดอินทรีย์   แล ะ  กรดอนินทรีย์  ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
               3.1  กรดอินทรีย์  เป็นกรดที่ได้จากสิ่งมีชีวิต  เช่นพืช   สัตว์  จุลินทรีย์   หรือได้จากการสังเคราะห์ที่ให้สารที่มีสมบัติเช่นเดียวกับกรดที่ได้จากสิ่งมีชีวิต  ตัวอย่างเช่น
                      3.1.1  กรดกรดแอซิติก  ( acetic   acid ) หรือกรดน้ำส้ม  เป็นกรดที่ใช้ทำน้ำส้มสายชูเป็นสารละลายที่มีกรดแอซิติก  5 % โดยมวลต่อปริมาตร   
                      3.1.2  กรดซิตริก ( citric   acid ) หรือกรดมะนาว  เป็นกรดที่อยู่ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเช่นส้ม   มะนาว   ส้มโอ ฯลฯ
                      3.1.3  กรดอะมิโน  ( amino  acid )  เป็นกรดที่ใช้ในการสร้างโปรตีนของสิ่งมีชีวิต
                      3.1.4  กรดแอสคอร์บิค  ( ascorbic   acid ) หรือวิตามินซีนั่นเอง
               3.2  กรดอนินทรีย์  เป็นกรดที่ได้จากแร่ธาตุ  จึงอาจเรียกว่ากรดแร่ก็ได้   มีความสามารถในการกัดกร่อนสูง  ถ้าถูกผิวหนังหรือเนื้อเยื่อของร่างกายจะทำให้ไหม้  แสบ   หรือมีผื่นคัน  ตัวอย่างเช่น  
                      3.2.1 กรดไฮโดรคลอริก (hydrochloric  acid)  หรือกรดเกลือ                     
                      3.2.2  กรดไนตริก  (nitric  acid)  หรือกรดดินประสิว
                      3.2.3  กรดคาร์บอนิก  (carbonic  acid)  หรือกรดหินปูน
 
 
                      3.2.4  กรดซัลฟิวริก(sulfuric  acid)  หรือกรดกำมะถัน
 
 
สอนเทคนิคการชุบให้กับลูกค้าจริง